ค้นหา

auyao

คอนโดติดรถไฟฟ้า คอนโดราคาถูก เช่าคอนโด รีวิวคอนโด บ้านทาวน์เฮ้าส์ แบบบ้าน

หมวดหมู่

ไม่มีหมวดหมู่

โครงการบ้านต่างๆ ทาวน์โฮม และคอนโดมิเดียม กำลังจะบูมใน กรุงเทพฯ ตอนเหนือ

โครงการบ้านต่างๆ ทาวน์โฮม และคอนโดติดรถไฟฟ้า กำลังจะบูมใน กรุงเทพฯ ตอนเหนือ

ล็อกรีวิว คอนโดติดรถไฟฟ้า ขอขอบคุณภาพจาก thaibigplaza.com/



นายสุรเชษฐ กองชีพ หรือรองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล แห่งประเทศไทย จำกัด ได้เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในปัจจุบันพื้นที่กรุงเทพฯ ในตอนเหนือและจังหวัดปทุมธานีนั้น หรือบริเวณคลอง 1-6 ได้มีโครงการที่อยู่อาศัยที่เปิดขาย อยู่ทั้งหมดถึง 67 โครงการ แยกได้เป็นโครงการบ้านจัดสรร 55 โครงการ หรือจำนวน 12,437 หน่วย และเป็นบ้านเดี่ยวมากที่สุดจำนวนมากถึง 5,028 หน่วย โดยคิดเป็น 81% ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวที่ขายในระดับราคามากกว่า 3 ล้านบาทขึ้นไปอีก ทาวน์โฮมที่ได้มีจำนวนมากที่สุด คือ ราคา ที่ขายต่ำกว่า 2 ล้านบาทลงมานั้น มีสูงถึง 83% จากจำนวนของทาวน์โฮมที่เปิดขายอยู่ในปัจจุบันอยู่ 4,520 หน่วย ขณะที่อัตราการขาย นั้้นก็สูงโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 66% 


ส่วนของในโครงการคอนโดมิเนียมนั้น ก็ยังพบอีกว่ามีโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายอยู่ทั้งหมด 12 โครงการ และจำนวนรวมทั้งหมด 18,671 หน่วย และยังเป็นคอนโดมิเนียมที่มีราคาขายต่ำกว่า 1 ล้านบาท มากถึง 86% เลย เพราะมีโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ ที่ได้มีจำนวนหน่วยมากกว่า 1 หมื่นหน่วยอยู่ โดยเปิดขายในบริเวณนี้ด้วย แต่สำหรับบ้านเดี่ยวในบริเวณนี้ก็ได้รับความนิยมค่อนข้างมากเลย เพราะมี อัตราการขายประมาณ 64% โดยเฉพาะในโครงการที่มีราคาขายเกินกว่า 2 ล้านบาทขึ้นไปด้วย โดยมีหน่วยที่ขายไปแล้วมากกว่า 3.2 พัน หน่วยทีเดียว อันดับรองลงไปคือก็คือทาวน์โฮมที่มีอัตราการขายอยู่ที่ประมาณ 62% คอนโดมิเนียมนั้นกลับมีอัตราการขายที่ค่อนข้างต่ำคืออยู๋ที่ประมาณ 40% เพราะในโครงการขนาดใหญ่จะต้องใช้เวลาในการขายมากทีเดียว


โดยได้สอดคล้องกับ นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา หรือกรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) ที่ได้กล่าวถึงศักยภาพ ในพื้นที่กรุงเทพฯตอนเหนือและจังหวัดปทุมธานีไว้ว่า เป็นพื้นที่ที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก เนื่องจากในภาครัฐและในภาคเอกชน ได้มีแผนการลงทุนที่ชัดเจนมาก โดยในภาครัฐจะมีการลงทุนพัฒนาคือโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น ในการพัฒนาระบบราง ไม่ว่าจะเป็นการ ในการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่ หรือรถไฟความเร็วปานกลางและรถไฟความเร็วสูง ที่การก่อ สร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง หรือบางซื่อ รังสิต และสายสีแดงในส่วนต่อขยายรังสิตธรรมศาสตร์ โดยโครงการรถโดยสารปรับอากาศพิเศษ (บีอาร์ที) โซนรังสิตอีกด้วย จึงทำให้โครงการคอนโดในบริเวณนี้ ในอนาคตจะเป็ คอนโดติดรถไฟฟ้านั้นเอง 


โครงการมอเตอร์เวย์ ในบางปะอินโคราช จะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางสู่ในส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้เป็นอย่างดีแน่นอน โดยโครงการปรับปรุงและขยายสนามบินดอนเมืองนั้น ที่คาดว่าจะสามารถเปิดให้เราได้ใช้บริการได้ในปลายปี 2558 หรือต้นปี 2559 ซึ่งก็จะเป็น ศูนย์กลางของการเดินทางด้วยสายการบินโลว์คอสต์ที่ดี ที่ในปัจจุบันได้มีผู้โดยสารใช้บริการจำนวนมาก ขณะที่ในภาคเอกชนเองก็มี แผนที่ลงทุนพัฒนาโครงการก่อสร้างศูนย์การค้าแห่งใหม่ขึ้นอีก ได้แก่ เซ็นทรัลเอ็ม เมกา รังสิต และฟิวเจอร์ซิตี้ เป็นต้น 


ในปัจจุบันบริษัทมีโครงการบ้านในโซนรังสิต-นครนายก 2 โครงการ นั้น ได้แก่ โครงการสัมมากรรังสิต ที่คลอง 2 เหลือเพียง กว่า 20 หน่วยเท่านั้น ราคาขายหน่วยละ 4-5 ล้านบาททีเดียว โดยรวมมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท ที่มีจุดเด่นอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ที่ติดถนนใหญ่ ใกล้สาธารณูปโภคต่างๆ และศูนย์การค้าเพียวเพลส และ โครงการสัมมากร รังสิต ที่คลอง 7 จำนวน 400 หน่วย ที่ระดับราคาเฉลี่ย 5 ล้านบาท โดยมูลค่าประมาณ 2.1 พันล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้จะช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างมากค่ะ ด้าน นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ หรือกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลล อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ได้กล่าวว่า ปัจจุบันนี้บริษัทมียอดขายจากโครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 เฟส 1 ที่ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและจะโอนช่วงปลายปี 2558 จำนวนกว่า 3 พันหน่วย มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาทเลย และจะเปิดขายเฟส2 นี้อย่างเป็นทางการช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งในปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 1 พันหน่วยแล้ว ขณะที่การก่อสร้างเฟส 2 นี้ได้มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยมีอาคารก่อสร้างแล้วเสร็จจำนวน 10 อาคาร จากทั้งหมด 18 อาคาร ที่เหลือ 8 อาคารจะอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยในส่วนของเฟส 2 นี้ ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและคาดว่าจะส่งมอบได้ในไตรมาส 1 ปี 2559 นี้


ราคาขายที่เริ่มต้นอยู่ที่ 5.65 แสนบาทต่อหน่วย โดยถือเป็นคอนโดมิเนียมที่มีราคาต่ำที่สุดในกรุงเทพฯ ขณะที่โครงการ ลุมพินี ทาวน์ชิป นั้นโดดเด่นในแง่ชุมชนเมืองน่าอยู่ และสิ่งอำนวยความสะดวกครแล้วบ และคอมมิวนิตี มอลล์ ‘Market Place’ ในด้านหน้า โครงการภายใต้การบริหารงานจากผู้ชำนาญการคือ บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (SF)อีกด้วย



บล็อก รีวิว คอนโดติดรถไฟฟ้า ขอขอบคุณเนื้อหาบางส่วนจาก ฐานเศรษฐกิจ

ทุกวันนี้เราเสียภาษีอะไรบ้าง มาดูกัน

ทุกวันนี้เราเสียภาษีอะไรบ้าง มาดูกัน

ขอบคุณภาพจาก http://www.prosacc.com/





ภาษีเป็นสิ่งที่จะทำให้ประเทศขับเคลื่อน โดยทุกวันนี้เรานั้นก็เสียภาษีต่างๆ ทมากมาย บางคนอาจยังไม่รู้ว่าเราเสียภาษีอะไรบ้าง วันนี้ รีวิว คอนโดติดรถไฟฟ้า บ้านทาวน์เฮ้าส์ จึงได้ไปหาข้อมูลต่างๆ เพื่อมาบอกทุกคนได้รู้กันว่า ตอนนี้เราได้เสียภาษีอยู่แทบจะทุกวันนั้นมีอะไรบ้างมาดูกันเลย




สิ่งที่ 1. การทำมาหากิน เราต้องเสียภาษีเงินได้


ไม่ว่าจะทำการประกอบอาชีพในนามนิติบุคคลหรือบุคคล ล้วนแล้วแต่ต้องเสีย ภาษีเงินได้ ทั้งหมด สำหรับคนที่ทำงานเป็นลูกจ้างทั่วไปนั้นจะจัดอยู่ในประเภทการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่หากมีรายได้เป็นเงินเกิน 50,000 บาท (ยังไม่สมรส) หรือมากกว่า 100,000 บาท (สมรสแล้ว)ในช่วงปีนั้นๆ จะต้องยื่นแบบ ภาษีฯ ไม่ว่าเราจะมีภาษีที่ต้องจ่ายชำระหรือไม่ก็ตามแต่ และสำหรับผู้ที่เสียภาษี มากกว่า 3,000 บาท สามารถขอแบ่งจ่ายชำระได้ โดยไม่เกิน 3 งวด และไม่ต้องเสียเบี้ยปรับ แต่ถ้าหากเราลืมจ่ายภาษี จนเลยมันกำหนดการจ่ายแล้ว เราจะต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของกำหนดการที่จะต้องจ่าย


สิ่งที่ 2. ถ้าเรามีรถขับ เราต้องเสียภาษีรถยนต์


ซึ่งจะเสียเป็นประจำทุกปี นั่นคือที่เหล่าผู้เป็นเจ้าของรถทุกๆประเภท จะดำเนินการที่ พรบ. และชำระภาษีรถยนต์ โดย พ.ร.บ. เหมือนเป็นการทำประกันภัยภาคบังคับให้เรา ที่จะคุ้มครองเราเมื่อประสบภัยจากรถ ทางกรมการขนส่งจะต้องใช้ประกอบการต่อภาษีรถยนต์ประจำปี และอัตราภาษีรถยนต์นั้น จะต่างกันไปตามประเภทรถ เช่น จัดเก็บตามความจุกระบอกสูบ (ซีซี) จากรถยนต์ ,จัดเก็บเป็นรายคัน ,จัดเก็บตามน้ำหนักเป็นต้น


สิ่งที่ 3. การทานร้านอาหาร จะต้องเสียมูลค่าเพิ่ม หรืท หรือที่เรียกว่า VAT นั้นเอง จะอยู่ที่ 7%


บางคนคงพบเจอเหตุการณ์ในลักษณะนี้แล้ว รู้สึกตกใจ เพราะราคาอาหารมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากเราลืมคำนึงถึง vat 7% นั้นเอง โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax : VAT) ก็คือ ภาษีที่จัดเก็บจากมูลค่าของสินค้านั้นหรือบริการของแต่ละขั้นตอนในการผลิตการจำหน่ายของสินค้าหรือบริการนั้นเอง โดยผู้ประกอบกิจการเป็นผู้เรียกเก็บกับลูกค้า และจะนำภาษีมูลค่าเพิ่มไปชำระกรมสรรพากรเอง คือผู้บริการจะรับทำเองโดยจะลดภาระให้ผู้บริโภค นั้นเอง ซึ่งเป็นภาษีทางอ้อมที่คนไทยที่เป็นผู้บริโภคจำต้องจ่ายไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตามแต่


สิ่งที่ 4. ถ้ามีเงินฝากธนาคาร จะต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก


ในหลายๆคนอาจจะละเลยภาษีส่วนนี้ไป เพราะในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของเงินฝากจะค่อนข้างต่ำ (โดยออมทรัพย์จะอยู่ที่ 0.125%-1% ,ฝากประจำจะอยู่ที่ 0.8-2.5%) ซึ่งดอกเบี้ยต่อปีที่เราได้รับนั้นถ้าหากรวมกันทุกธนาคารแล้วไม่ถึง 20,000 บาทต่อปี เราจะอยู่ในข้อยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีได้ (ส่วนคนที่เกิน 20,000 บาท จะต้องถูกหักภาษี 15%) สำหรับคนที่ได้รับข้อยกเว้นดังกล่าวนั้นยังรวมไปถึงกรณีคนที่มีเงินฝากประจำ คนที่มีเงินฝากเผื่อเรียกธ.ออมสินและธกส. , คนที่มีเงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์, คนที่มีเงินฝากประจำ 2ปีขึ้นไป ไม่เกิน 600,000 บาท และคนที่มีเงินฝากประจำมากกว่า 1ปี อายุ 55ปีขึ้นไป ที่ได้รับดอกเบี้ยไม่เกิน 30,000บาท เป็นต้น


สิ่งที่ 5. การลงทุนตลาดหุ้น ต้องเสียภาษีของเงินปันผลด้วย


ถึงแม้ว่ากำไรที่ได้จากการโอนหุ้นหรือการขายนั้นจะได้รับสิทธิยกเว้นโดยกฎหมาย แต่ถ้าหากสำหรับ เงินปันผลจะโดนหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ของเงินปันผลทั้งหมด แต่สำหรับผู้เสียภาษีเงินได้ อยู่แล้วสามารถใช้สิทธิในการขอคืนภาษีได้ ที่เรียกว่า เครดิตภาษีเงินปันผลนั้นเอง ซึ่งเป็นการขอคืนเงินภาษีจากการที่เก็บซ่ำซ้อน เนื่องจากเงินปันผลนั้นเป็นเงินที่บริษัทจ่ายให้กับผู้ถือหุ้น เป็นเงินที่เป็นกำไรสุทธิที่เราได้หักจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลไปแล้ว เมื่อผู้ถือหุ้นได้รับเงินปันผลก้อนนั้น จะถือว่าเป็นเงินได้พึงประเมิน จะจำเป็นต้องนำมาคำนวณเพื่อจะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกครั้งนึ่ง จึงกลายเป็นว่าเรานั้นเสียภาษีซ้ำซ้อนจากกำไรก้อนเดียวกันนั้นเอง


สิ่งที่ 6. การหารายได้เสริม หรือขายสินค้าทางเน็ต ต้องเสียภาษีเงินได้ (ถ้าเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี เราต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม)


อธิบายง่ายๆได้ว่า เมื่อไหร่ที่เรามีรายได้ ย่อมต้องเสียเพิ่ม ภาษีเงินได้นั้น กรณีขายที่เราในนามบุคคลจะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ถ้าหากเป็นนามบริษัทจะเราจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่สำหรับผู้ขายสินค้าออนไลน์ที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ก็จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย ตือเราต้องไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และต้องบวก vat 7% เพิ่มกับราคาสินค้าที่ขายนั้นๆ ด้วย


สิ่งที่ 7. ผู้ที่ถูกรางวัลชิงโชค จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายทันที (คือการเสียภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้น)


เงินรางวัลสำหรับผู้โชคดีที่จะได้รับนั้น จะต้องถูกหักภาษีทันที่ ณ ที่จ่าย 5% ของมูลค่าสินค้าทั้งหมดหรือเงินรางวัลทั้งหมด และเมื่อครบปี (เดือนมีนาคม) เงินรางวัลเหล่านี้จะถูกรวมเข้ากับเงินที่ได้พึงประเมินอื่นๆ เพื่อจะนำไปคำนวณหาภาษีเงินได้ ต่อไป ทั้งนี้ภ้าหากผู้โชคดีรายนั้น มีผลรวมของเงินได้พึงประเมินรวมกับเงินรางวัล ยังไม่ถึง 150,000 บาทต่อปี จะได้รับการยกเว้นภาษี โดยจะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ดังนั้น ผู้โชคดีรายนั้นจะสามารถขอคืนภาษี 5% ที่ได้ถูกหัก ณ ตอนที่รับตอนแรก ดังกล่าวได้


สิ่งที่ 8. ขายบ้านขายคอนโด ขายอสังหาต่างๆ จะต้องเสียภาษีจากการขายอสังหา


เมื่อขายบ้านขาย “คอนโดติดรถไฟฟ้า” “คอนโดราคาถูก” ขายอสังหาต่างๆ จะต้องเสีย ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย โดยจะพิจารณาจากราคาประเมินบวกกับจำนวนปีที่ถือครอง นอกจากนี้ยังมีค่าอากรแสตมป์ 0.5% ที่ผู้ขายจะต้องเสียในขั้นตอนที่จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ , ค่าธรรมเนียมในการโอนอีก 2% ในทุกๆครั้งที่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ และ หากกรณีผู้ขายครอบครองอสังหาริมทรัพย์น้อยกว่า 5 ปี ก็จะต้องเสีย ภาษีธุรกิจเฉพาะอีก 3.3% จากราคาประเมินหรือราคาตลาดที่สูงกว่านั้นเอง




บล็อก รีวิว คอนโดใกล้รถไฟฟ้า บ้านทาวน์เฮ้าส์ ของขอบคุณเนื้อหาบางส่วนจาก terrabkk.com



10 อย่างที่จะต้องจ่าย เมื่อซื้อคอนโดใหม่

 

สิ่งที่จะต้องจ่าย เมื่อซื้อ คอนโดติดรถไฟฟ้า คอนโดราคาถูก

 

 

ภาพและเนื้อหาจาก http://home.sanook.com/
 
         ในตอนนี้ การซื้อคอนโดนั้น เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก ไม่ว่าจะเป็น คอนโดติดรถไฟฟ้า คอนโดราคาถูก หรือคอนโดต่างๆ ก็ง่ายขึ้นเพราะความต้องการหากำไรของเจ้าของโครงการจึงแทบจะทำทุกอย่าไว้รอเราเพื่อไปจ่ายเงิน เราจึงไม่ต้องเตรียมอะไรมาก็สามารถเป็นเข้าของคอนโดได้ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เราต้องรู้ไว้ คือสิ่งที่เราต้องจ่ายในการซื้อคอนโดสักแห่ง นั้น มีดังนี้
         1. เงินจอง จ่ายครั้งเดียว เงินจองนั้นจะอยู่ที่ปะมาณหลักพัน หรือถ้าเป็นคอนโดแพงๆ ก็จะอยู่ที่ประมาณหลักหมื่น ซึ่งแล้วแต่ละคอนโดนั้นเอง

 

         2. เงินทำสัญญา จ่ายครั้งเดียว เมื่อเราได้จ่ายเงินจองเรียบร้อยแล้ว 7-14 วันต่อมา จะได้ทำ สัญญาซื้อขาย ซึ่งจะจ่ายอีกรอบหนึ่งและจะมากกว่าเงินที่จ่ายค่าจอง
3. เงินดาวน์ แบ่งจ่ายเป็นงวด ๆ ในปัจจุบัน ธนาคารแห่งชาติ ได้กำหนดให้ธนาคารพานิชย์ต่างๆ ปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อคอนโด ได้ในสัดส่วน LTV ไม่เกิน 90% ของทั้งหมด เพราะฉะนั้นเราจึงควร ดาวน์ขั้นต่ำ 10% เป็นอย่างน้อย โดยจะรวมต่าเงินจองและเงินทำสัญญาด้วย

 

         4. ค่าประเมินราคาห้องชุด จ่ายครั้งเดียว โดยจะทำการจ่ายในวันที่เราไปทำเรื่องยื่นกู้ให้ธนาคารที่เรากู้ โดยจะอยู่ที 2,000 – 3,000 บาท ต่อการประเมินหนึ่งครั้ง โดยถ้าเรายื่นกู้ไม่ผ่านก็ไม่ได้เงินคืน

 

         5. ค่าจดทะเบียนจำนอง จ่ายครั้งเดียว จ่ายในมูลค่า 1% ของที่จดจำนอง โดยจะทำการจ่าในวันที่โอนกรรมสิทธิ์ โดยจะไปชำระให้สำนักงานที่ดิน เพื่อเป็นการเอาคอนโดค้ำประกันหนี้ให้กับธนาคารนั้นเอง

 

         6. ค่าธรรมเนียมการโอน จ่ายครั้งเดียว  จ่ายในมูลค่ 2% ของราคาประเมินจากกรมที่ดิน  ซึ่งเราจะต้องไปจดทะเบียนกับสำนักงานที่ดิน และในส่วนหใหญ่ผู็ขายและผู็ซื้อจะออกกันคนละ 50% หรือจะแล้วแต่การตกลง

 

         7. เงินกองทุนสำรองส่วนกลาง จ่ายครั้งเดียว เงินกลองกลางที่จะต้องจ่ายเพื่อเป็น กองทุนสำรอง เพื่อจะได้ใช้บริหารระยะยาว ในการจัดการต่างๆ ซึ่งจะต่างกันออกไปตามราคาของห้องนั้นๆ

 

         8. ค่าเบี้ยงประกันอัคคีภัย ส่วนใหญ่ตจะจ่ายเป็นปี แต่บางที่ก็ต่างออกไป ถ้าเราของกู้จากธนาคาร ธนาคารส่วนใหญ๋จะให้เราทำประกันอักคคีภัยห้องชุดมาด้วย โดยเราจะต้องเปนคนจ่ายเบี้ยประกันแต่ธนาคารจะเป็นคนรับผลประโยชน์ ถ้าเกิดเหตุอัคคีภัย ประกันจะทำการจ่ายให้ธนาคารเพื่อไปตัดหนี้ที่เราค้างจ่ายอยู่

 

         9. ค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า – น้ำ จ่ายครั้งเดียว โดยโครงการจะจ่ายค่ามิเตอร์ต่างๆให้เราก่อนและมาเรียกเก็บทีหลัง โดยจะอยู่ที่ 2,000 – 4,000 บาท

 

         10. ค่าประกัยภัยอาคาร แล้วแต่ว่าแต่ละโครงการจะมีนโยบายในการจ่ายแบบใหน จะจ่ายตามราคาห้องของแต่ละห้องเช่นเดียวกัน

สร้างเว็บไซต์หรือบล็อกฟรีที่ WordPress.com.

Up ↑